ข้อมูลที่นักเรียนในใจ
ครูพิเศษจอมป่วน รีบอร์น!
ครูพิเศษจอมป่วน รีบอร์น! (ญี่ปุ่น: 家庭教師ヒットマンREBORN! Katekyō Hittoman Ribōn! ?) เป็นการ์ตูนญี่ปุ่นที่ยังดำเนินเรื่องอยู่ เรื่องและภาพโดย อากิระ อามาโนะ โครงเรื่องมีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตของ ซาวาดะ สึนะโยชิ เด็กนักเรียนมัธยมต้นโรงเรียนนามิโมริที่ไม่มีความโดดเด่นอะไรเลย จนกระทั่ง "รีบอร์น" นักฆ่ามือของวองโกเล่ แฟมิลี่ มาเฟียแห่งอิตาลี เพื่อฝึกให้สึนะเป็นหัวหน้าแก๊งมาเฟียรุ่นที่ 10 ของวองโกเล่ แฟมิลี่ ผู้เป็นทายาทโดยตรงของตระกูล
ภาคต่าง ๆ ของรีบอร์น
ภาคฝึกฝน
การท้าทายจากมุคุโร่
ภาคปะทะวาเรีย
ปฐมบท The Future
The Future ภาคกลาง x-burn
The Future ภาคท้าย x-burn
ภาค Choice
ภาค Future Battle (ศึกตัดสินชี้ชะตาอนาคต)
ภาคพิเศษ อัลโกบาเลโน่
หลังจากจบศึกที่ฐานทัพเมโลเน่ สึนะได้รับกล่อง Vongola มาแต่ไม่สามารถใช้มันได้ อิริเอะ โชอิจิบอกกับเขาว่า การที่จะเปิดกล่องได้ จำเป็นจะต้องกลับไปยังอดีตเมื่อ 10 ปีก่อนเป็นเวลา 1 อาทิตย์เพื่อรับการทดสอบจากอัลโกบาเรโน่ทั้ง 7 โดยการกลับไปของพวกเขาเป็นการชั่วคราวนั้น ในโลกในอดีต พวกเขาหายไปเพียงแค่สามวันเท่านั้น และอิริเอะก็ได้บอกให้พวกเขาสร้างเรื่องว่า ไปปิคนิคกันและหลงทาง เมื่อทุกคนกลับไปอดีต ก็เป็นเวลาเดียวกับที่อัลโกบาเรโน่ทั้งเจ็ดมุ่งหน้าไปญี่ปุ่น รีบอร์นได้เล่ารายละเอียดคร่าวๆของอัลโกบาเรโน่แต่ละคนให้พวกสึนะฟัง อัลโกบาเรโน่ทั้งเจ็ดประกอบด้วย
1.โคโรเนโร่ ผู้ครอบครองจุกนมธาตุพิรุณ อดีตหัวหน้าหน่วยคอมมุสบินของอิตาลี มีอาวุธคือปืนไรเฟิล
2.สกัล (หรือสคัล) ผู้ครอบครองจุกนมธาตุเมฆา สตั๊นท์แมนผู้ได้รับฉายาว่า สกัลอมตะ
3.เวลเด้ ผู้ครอบครองจุกนมธาตุอัสนี นักวิทยาศาตร์อัจฉริยะ ผู้สร้างกล่อง (ร่วมกับ เคนิตฮ์ และ อิโนเซนตี้) ในอีกสิบปี
4.ไวเปอร์ (มาม่อน) ผู้ครอบครองจุกนมธาตุสายหมอก เป็นอัลโกบาเลโน่ที่ยังไม่ปรากฏเพศออกมาชัดเจน สามารถสร้างภาพมายาให้กลายเป็นจริง และทำให้สิ่งที่มีจริงกลายเป็นภาพมายาได้
5.ฟง ผู้ครอบครองจุกนมธาตุวายุ นักสู้อัจฉริยะอันดับหนึ่งของการแข่งขันกังฟูทัวร์นาเม้นท์ของจีน หน้าตาและทรงผมเหมือน ฮิบาริ เคียวยะ แต่มีเปียยาวด้านหลัง เป็นอาจารย์ของอี้ผิง
6.รีบอร์น ผู้ครอบครองจุกนมธาตุอรุณ เป็นนักฆ่าที่เก่งที่สุดในหมู่มาเฟีย
7.อาเรีย (แม่ของยูนิ) (มาแทนลูเช่เพราะหายสาบสูญ) (ลูเช่เป็นยายของยูนิ) ผู้ครอบครองจุกนมธาตุนภา เป็นหัวหน้าของอัลโกบาเลโน่ แม่ของรองหัวหน้ามิลฟีโอเล่แฟมิลี่ ยูนิ ในภาคพิเศษอัลโกบาเลโน่จะเป็นอาเรียซะส่วนใหญ่ จะมีพูดถึงลูเช่ช่วงย้อนความก่อนเป็นอัลโกบาเลโน่
การทดสอบครั้งแรก : การทดสอบของโคโรเนโร่ ฝึกทดสอบด้านการต่อสู้ โดยจะต้องหยิบเข็มกลัดที่มีเลข01จากผ้าโพกหัวของโคโรเนโร่ให้ได้
การทดสอบครั้งที่สอง : การทดสอบของสกัล ทดสอบในด้านสเน่ห์ จะต้องพยายามหยุดการต่อสู้กันระหว่างโรคุโด มุคุโร่ กับ ฮิบาริ เคียวยะให้ได้
การทดสอบครั้งที่สาม: การทดสอบของมาม่อน (ไวเปอร์) ฝึกเกี่ยวกับ ความสามารถในการดัดแปลงและด้านปัญญา โดยจะให้ตอบคำถามเกี่ยวกับสถานที่ในนามิโมริเมื่อเจอคำตอบจะต้องทำภารกิจที่มาม่อนบอก ซึ่งภารกิจคือ เอาตัวรอดจากมาม่อนโดยใช้อาวุธกล่องทั้ง 3
การทดสอบครั้งที่สี่ : การทดสอบของฟง ทดสอบด้านความเป็นผู้นำ โดยจะต้องไล่จับฟงในโรงเรียนภายในเวลา30นาทีให้ได้ ผู้เข้าร่วมการทดสอบมีทั้งหมด3คน ได้แก่ ซาวาดะ สึนะโยชิ,แรมโบ้,มิอุระ ฮารุและอี้ผิงที่ปรากฏตัวภายหลังได้เข้ามาช่วยไว้ ในช่วงแรกๆของการทดสอบ เหล่าทุกคนได้พยายามไล่จับฟงอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่กลับจับตัวฟงไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แม้ว่าทั้งหมดจะใช้อาวุธไล่โจมตีฟงเพื่อให้ฟงต้องหยุดก็ตาม จนผู้ทดสอบทั้งหมดเริ่มท้อกับการทดสอบ สึนะจึงปลอบใจ และเพิ่มกำลังใจผู้เข้าร่วมการทดสอบคนอื่นๆ และเริ่มใช้กลยุทธ์
การทดสอบครั้งที่ห้า : การทดสอบของอาเรีย ทดสอบด้านความอดทนในการยอมรับความเห็นผู้อื่น โดยสึนะจะต้องคอยทำตามคำขอร้องของอาเรียไปเรื่อยๆโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่า เธอเป็นอัลโกบาเรโน่หรือเปล่า
การทดสอบครั้งที่หก : การทดสอบของรีบอร์น ทดสอบด้านความสามัคคีของบอส โดยจะต้องต่อสู้กับรีบอร์นแบบ7ต่อ1 (ผู้พิทักษ์ทั้ง6และหัวหน้า VS รีบอร์น) โดยที่สี่คน(โกคุเดระ ฮายาโตะ,ยามาโมโตะ ทาเคชิ,โคลม โดคุโร่,และซาซางะวะ เรียวเฮย์)ล้วนแต่ใจอ่อนต่อรีบอร์น จึงไม่กล้าทำร้ายรีบอร์นเท่าไรนักมีเพียง ฮิบาริ เคียวยะ ที่สนุกกับการต่อสู้นี้ และในขณะที่รีบอร์นจริงจังกับการต่อสู้มาก จนทำให้ผู้พิทักษ์ทั้งห้าหมดสติลงอย่างรวดเร็ว ส่วนแรมโบ้ ก็ได้แต่นอนอย่างไม่รู้เรื่องอะไรลย จนทำให้เหลือสึนะเพียงคนเดียว จึงกลายเป็นการต่อสู้ระหว่างสึนะกับรีบอร์น ในช่วงท้ายๆของการทดสอบ รีบอร์นออมมือให้สึนะเล็กน้อย จนสึนะได้โอกาสยิงX-Burner Air แต่ว่า เพราะสึนะไม่กล้าทำร้ายรีบอร์นมากไปกว่านี้ สึนะจึงหยุดยิงX-Burner Airจนทำให้สูญเสียโอกาสสุดท้ายไป และถูกรีบอร์นโจมตีด้วยกระสุนดับเครื่องชนจนไม่ผ่านการทดสอบในที่สุด
การทดสอบครั้งที่เจ็ด : การทดสอบของเวลเด้ ทดสอบด้านสัญชาตญาณ โดยเวลเด้ได้หลอกให้สู้กับหุ่นยนต์ที่ก๊อปปี้ตัวเองขึ้นมา ในตอนแรกพวกอัลโกบาเลโน่ ทั้งหมดได้โดนจับ (ยกเว้นอาเรีย เพราะเธอไม่ใช่อัลโกบาเลโน่) โดยหลังจากที่สึนะช่วยพวกนั้นมาได้ก็ได้ช่วยกันกำจัดเวลเด้แต่ตัวแรกเป็นหุ่นยนต์จึงเสียแรงฟรีเปล่าๆ แต่สึนะได้รู้สึกว่ามีฐานทับลับของเวลเด้อยู่ใกล้ๆ พวกสึนะจึงผ่านการทดสอบ
การทดสอบรอบแปด : การทดสอบของรีบอร์น (รอบสอง) ทดสอบด้ายความเชื่อใจและความพยายาม โดยตอนที่พวกสึนะฝึกกับเวลเด้ผ่านและได้พลังอัศนีของเวลเด้มา รีบอร์นก็ให้ผ่านการทดสอบ เพราะสึนะต้องการทดสอบกับรีบอร์นอีกรอบรีบอร์นเห็นว่ามีความพยายามจึงให้ผ่านไปเลย
เครดิต :วิกิพีเดีย
แต่สิ่งที่ฉันสนใจในรีบอร์นมากทีสุดคือ อัลโกบาเลโน่
อัลโกบาเลโน่นั้นมี7คน
มีจุกนมทั้งหมด8อัน1ในนั้นไม่ถือว่าเป็นอัลโกบาเลโน่
ถ้าจะอธิบาง่ายๆนะครับคือว่า เมื่อก่อนที่จะเป็นเด็กทารก พวกอัลโกบาเลโน่เคยเป็นผู้ใหญ่มาก่อน แต่เพราะพวกเขาถูกเลือกที่จะต้องรับคำสาป ก็เลยต้องเดินทางเพื่อไปรับคำสาปนี้ แต่ โคโรเนโร่ มาแทน รัล มิลจิ(ที่ไม่สมบูรณ์อันนี้สาเหตุผมยังไม่ทราบครับ)ความจิง รัล มิลจิ ไปนะแต่ โคโรเนโร่ ไปขัดขวาง ก็เลยปรากฎว่า รัล มิลจิ เป็นเด็กทารกที่ถูกคำสาปไปด้วยเป็นแบบครึ่งๆกลางๆโดยเป็นอัลโกบาเลโน่ที่ไม่นับอยู่ใน7คนครับ แต่ตอนไปรับคำสาป เมื่อถูกคำสาปแล้วก็จะกลายเป็นเด็กเหมือนทุกคนครับ ถือว่ามีอัลโกบาเลโน่ 8คน แต่นับแค่ 7คนเพราะมีผู้ถูกคำสาป 8คน หรือจุกนม 8จุก แต่ไม่นับ รัล มิลจิเพราะไม่สมบูรณ์(สาเหตุที่ไม่สมบูรณ์ยังไม่ทราบน่าจะเป็นที่ปาน(เกี่ยวกันไหมหว่า)ยังไงอัลโกบาเลโน่ก็มี7นะครับ)ถึงจะมีผู้ถูกสาป 8คน หรือจุกนม 8จุกไม่นับคนที่8ป็นอัลโกบาเลโน่
เพิ่มเติม
1.คือ รีบอร์น (จุกนมสีเหลือง) ชอบพูด ดีจร้า!!!!!!!!
มีสัตว์คู่หูคือ - กิ้งกาชื่อเลออน
2.คือ โคโรเนโร่ (จุกนมสีฟ้า)เป็นคนฝึก กาเซคาวะ เรียวเฮ ในตอนศึกชิงแหวน ตัวที่ชอบพูดว่า "นะเว้ยเฮ้ย!!" ดูได้จากตอนที่ 143-144
สัตว์คู่หูคือ - นกอินทรีย์
3.คือ สคัล (จุกนมสีม่วง)เป็นรุ่นน้องรีบอร์นและโคโรเนลโร่(ใส่หมวกกันน๊อคสีขาวลายปลาหมึก)ดูได้จากตอนที่ 145
สัตว์คู่หูคือ - ปลาหมึกยักษ์
4.คือ มาม่อนหรือไวเปอร์ (จุกนมสีน้ำเงินเข้ม/สีคราม)1ใน วาเรีย(กลุ่มนักฆ่าของ วองโกเล่ แฟมิลี่) ตอนศึกชิงแหวน ดูได้จากตอนที่ 146
สัตว์คู่หูคือ - งู (สีขาวเหลือง) ที่อยู่บนหัวของมาม่อน
5.คือ ฟง (อาจารย์ขออิ้ผิง)(จุกนมสีแดง)น่าคล้าย ฮิบาริ ชอบขายเกี๊ยวซ่าใส่ชุดสีม่วงแว่นดำมีลิงขาวอยู่บนหัว ดูได้จากตอนที่ 147
สัตว์คู่หูคือ - ลิงขาว
6.คือ เวลเด้ (จุกนมสีเขียว)เป็นนักประดิษฐ์กล่องทำกล่องออกมาคือ เวลเด้ ดูได้ตอนประมาณ 146
สัตว์คู่หูคือ - จระเข้
7.ลูเช่ (แม่ของ ยูนิ / ยูนิ คือบอสของแบล็คสเปล แห่ง มิลฟีโอเล่ แฟมิลี่) (จุกนมสีส้ม) ดูได้จากตอนที่ 149
สัตว์คู่หู - กระรอก
ส่วน 8. คือ รัล มิลจิ (จุกนมสีเทาขุ่น) เป็นอัลโกบาเล่โนที่นับว่าไม่สมประกอบ จึงไม่นับรวมเป็น1ในอัลโกบาเล่โน มิลจินั้นเป็นอัลโกบาเลโน่ที่ล้มเหลว ตัวเธอนั้นถูกแทนที่โดยโคโรเนโร จึงมีจุหนมสีเทาขุ่น เพราะ รัล มิลจิ มีความสามารถเกี่ยวกะธาตุ3ธาตุ คือ หมอกและเมฆา กะ พิรุณ แต่แท้จริงแล้วคือ พิรุณ จะเห็นตอนที่ รัล ใช้ธาตุพิรุณตอนที่บุกเข้าไปฐานทัพของ มิลฟิโอเล่ ที่ญี่ปุ่น อิริเอะ โชจิ คุมอยู่
ประมาณตอนที่ 105
อัลโกบาเล่โน่มีแค่7คนแต่มีจกนม8จุก
ข้อมูลเพิ่มเติม
1.รีบอร์น (จุกนมสีเหลือง)
สัตว์คู่หู - กิ้งกาชื่อเลออน
2.โคโรเนโร่ (จุกนมสีฟ้า)
สัตว์คู่หู - นกนางนวลชื่อเฟลโก้
3.สคัล (จุกนมสีม่วง)
สัตว์คู่หู - ปลาหมึก
4.มาม่อนหรือไวเปอร์ (จุกนมสีคราม)
สัตว์คู่หู - กบชื่อแฟนทาสม่า
5.รัล มิลจิ(จุกนมสีแดง)
สัตว์คู่หู - ตะขาบ
6.เวลเด้ (จุกนมสีเขียว)
สัตว์คู่หู - จระเข้
7.ลูเช่ (จุกนมสีส้ม)
สัตว์คู่หู - กระรอก
8.ฟง (จุกนมสีแดง)
สัตว์คู่หู - ลิง7
เครดิตจาก http://dek-d.com/board/view.php?id=1215950
ประวัตนักเรียน
ชื่อ พชร สกุล เพชรปัญญา เลขที่ 20 ชั้น ม.4/10 ชื่อเล่น ติ๊ก
ที่อยู่ :48/95 ถ.มนตร ต.สบตุ๋ย อ.เมือง จ.ลำปาง 52100
วิชาที่ชอบเรียน: ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ คณิต วิชาที่ไม่ชอบเรียน: อังกฤษ การงานอาชีพ พละ
วิชาที่ถนัด :เคมี คณิต ฟิสิกส์ วิชาที่ไม่ถัด :อังกฤษ พละ
กิจกรรมยามว่าง: ฟังเพลง เล่นคอม(เน็ท)ดูทีวี อ่านหนั้งสือ(เรียน,การ์ตูน)และสุดท้าย กินขนม
โรคประจำตัว :เบาหวาน
นักร้องที่ชอบ :SNSD ,f(x)
การ์ตูนที่่ชอบ: Reborn,Bleach
Email:kood_tik@hotmail.com
_________________________________________________________________________________________________
http://mykoodteek41053.blogspot.com/
บล็อกนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาคอมพิวเตอร์
เสนอต่อ ครูขวัญจิตร สุวรรณวงศ์
คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553
บันทึกกิจกรรมในแต่ละวันตั้งแต่วันที่ 1-14 ส.ค.53
8 ส.ค. 53
วันนี้นะ เราต้องถ่ายละครชีวะด้วยหละ เหนื่อยมากเลยต้องตื่นแต่เช้าไปที่ BigC ไปถ่ายที่ร้านอาหารที่อยู่แถวนั้น
พอไปก็หาเพื่อนไปเจอพอโทรหา ก็อยู่ข้าง ๆ พอรวบรวมคนได้เกือบครบก็เริ่มถ่าย ฉากแรกถ่ายที่ ป้อมตำรวจ (เอาป้อม
ตำรวจแทนสถานีตำรวจ)ให้คนโทรไปแจ้งจำคนทำผิด ตอนถ่าย ผลาดตั้งหลายรอบ ตลกมาก หัวเราะจนปวดท้อง แต่ก็ยัง
มีตอนที่ปวดหัวมากเลย เพื่อน ๆ ไม่ยอมฟังคำสั่ง เอาแต่พูดเล่นกัน จนบางทีแสดงอารมณ์ไม่พอใจก็ฟังคำสั่งตามเดิม
เหอะ เหนื่อย !! จะให้ทำอะไรให้อีกอะ บทก็เขียนให้แล้ว อุปกรณ์ก็เตรียมแล้ว เป็นคนกำกับให้แล้ว จะเอาอะไรอีก !!
หลังจากนั้นก็ถ่ายที่ฉากร้านอะหาร เกรงใจเจ้าของร้านมาก เพราะว่าบทที่เราแสดง แสดงถึงคนที่ร้านอาหารทานแล้วก็ตาย
กลัวเจ้าของร้านไล่ ฮึฮึ ++ ใช้ว่าลาถ่ายที่นั้นนานที่สุด พอถ่ายเสร็จก็ขอบคุณเจ้าของร้านอาหาร แล้วก็ไปถ่ายที่ฉากที่
สวนเขลางต่อ (นัดเพื่อนไปทำงานอังกฤษเพิ่มเติมตรงนั้นพอดี เลยกะว่า ถ่ายละครเสร็จก็ไปทำงานอังกฤษเพิ่มเติมต่อ)
ฉากที่สวนเขลางคือถ่ายตอนที่พระเอก โปลยผงขี้เถ้าของนางเอกลองสระน้ำ (ขี้เถ้าให้แป้งอะ ไม่ละลายน้ำพร้อม)
พอถ่ายเสร็จก็ถ่ายรูปกลุ่มต่อ 555! ถ่ายหันหลังแล้วกระโดดพร้อมกัน ลืมงอขา กระโดดเหมือน Supermanเลย 555+
หลังจากนั้นก็ทำงานอังกฤษเพิ่มเติมต่อ พอไปถึ่งกลุ่มเพื่อน อยู่ดี ๆ ก็ยื่นงานให้ ไม่รู้อะไรเลย ส่งงานให้แล้วบอกให้ทำ
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเราไม่เก่งอังกฤษ ก็ยังเอางานที่ย่ากที่สุดให้เราทำ ไม่เข้าใจเลย ตอนนี้โกรธมากเลยหละ เราก็ทำ ๆ ไป ส่วน
พวกเพื่อน ๆ ก้ไปเข้าห้องน้ำ พอกลับมามันก็กินข้าว พวกมันก็ชวนเรากิน แต่เราไม่กินเพราะงานไม่เสร็จ แต่มันก็อีกเยอะมาก
พอผ่านไปซักพัก เรารู้เลยว่าน่ามืด รู้เลยว่าไม่ไหวแล้วคงจะต้องกินข้าวได้แล้ว (ยิ่งเราไม่ปกติเหมือนคนอื่นด้วย)
พอผ่านไปซักพักเพื่อนก็เริ่มกลับบ้านกัน แต่บางกลุ่มก็ยังไม่กลับ เราก็ไม่กลับ ก็เลยเล่นนับเลขไป พอผ่านไปซักพัก
ฝนก็ตกก็เลยเดินไป รร. แต่เค้าสอบกันเลยไม่ได้เข้าก็เลยกลับบ้าน End จ้าสำหรับวันนี้
และนี้ก็คือรูปตอนนี้พวกเราถ่ายพร้อม ๆกัน
_____________________________________________________________________________________
9 ส.ค. 53
วันนี้วันจันทร์ต้องไปรร. อีกแล้ว งานก็ยงไม่เสร็จเลยอะ เหนื่อยจังนอนไม่อิ่มเนี่ย พอไปรร.เรียนคาบแรกก็ง่วงเลย
พอไปเรียนคาบสองอังกฤษเพิ่มเติม ดีนะเนี่ย ยังไม่ได้ทำงาน เพราะงานส่งอาทิตย์น่า โอ้ย ลืมทำการบ้านอีก นั่งปั่นในคาบ
อย่างเร็วเลย แต่ทำเสร็จก็ไม่กล้าส่งเพราะส่งช้า เลยไปส่งคราวน่าเลยดีกว่า พอคาบสามไปเรียนสังคมของครูพัทธนันท์ ครู
ลาหยุดห้าวันเลยอะ เนื่องจากครูป่วย รู้สึกเป็นห่วงครูเหมือนกันนะเนี่ย แต่ไม่มีไรทำเลยไปกินข้าว รู้สึกว่ากินข้าวเที่ยงเช้ามาก
แต่พอกินข้าวเสร็จรอเรียนชีวะ ไม่มีไรทำพอถึงคาบชีวะ ครูให้ทำการทดลองส่องดูเซลล์เนื้อเยื่อหัวหอม เห็นแล้วรู้สึกเหมือน
กับว่า ว้าว เราเรียนเรื่องนี้หรอเนี่ย เหมือนเป็นนักวิทยาศาสตร์ อิอิ แล้วครั่งแรกให้ใช้น้ำปล่าวทดลอง แต่ครั้งที่สองให้ใช้น้ำเกลือ
พอทำไปครั่งแรก เราเซ็ทกล้องไม่ได้ แต่พอครั้งที่สอง เราเซ็ทได้่ และของกลุ่มเรา ภาพเห็นชัดที่สุด พอครูบอกว่ากลุ่มไหนที่
ทำไม่ได้ให้มาดูของ พชร เรารู้สึกเปลือมมาก 555 คนมีฝีมือก็แปปนี้หละ 555 หลังจากนั้นก็เรียนคาบงานบ้านต่อ กลัวมาก
เพราะลืมคิดแบบของสิ่งของที่จะทำ แต่เราก็ไปช่วยกันคิดทันในคาบพอดี พอไปเรียนคาบอังกฤษ กะว่าจะได้เข้าห้องแอร์
ที่ไหนได้ ไม่ได้เปิดแอร์ ร้อนตับแตก พอเรียนเสร็จก็เข้าคาบโฮมรูม ไม่มีไรทำก็นั่งเรียนกัน แล้วก็เข้าสีนั่งเล่นถุงใบใหญ่ต่อ
แล้วก็เจอกับกริยาหมา ๆ ของเพื่อนในห้อง(แรงไป ขอเปลี่ยนเป็นต่ำ ๆ ก็ได้ครับ)พอเลิกเรียนก็ไปเรีบนพิเศษครูเป้ต่อ END
และนี้ก็คือรูปที่ได้จากการทดลองวันนี้
_____________________________________________________________________________________
10 ส.ค. 53
วันนี้เป็นวันอักคาร ไปรร.หลับไม่อิ่มอีกแล้ววันนี้เรียนคาบแรกคือเรียนฟิสิกส์เพิ่มเติม เราไม่ค่อยจะพอใจกับห้องที่คร
สอนเพราะครูไปสอนที่ห้องใบสน เนื่องจากถ้าเรียนที่หอ้งนี้ ครูจะสอนช้า เพราะใช้จอโปรเจคเตอร์ เลยทำให้เรียนช้า เพราะ
ต้องรอคนที่จดบนกระดานไม่เสร็จทำให้ไปต่อไม่ได้ เราไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่(มากด้วยซ้ำ)พอเรียนคาบนี้เสร็จก็ไปเรียน
คอมต่อ พอครูบอกให้แต่งบล็อก และจะให้เราแต่งยังไงอีกเนี่ย เราไม่รู้จะแต่งยังไงด้วย เพราะ Photoshop เราก็แต่งไม่
ค่อยจะเก่ง และที่สำคัญรุ่นที่เราใช้ที่บ้านกับที่รร. คนละรุ่นด้วย แต่เราก็มีพื้นฐานนะ แต่ก็ทำได้ดีมากกว่าคนบางคนด้วย
แต่ตอนทำเนี่ยสิ อาาาายคนอื่นอยู่เหมือนกัน เพราะเอารูปตัวเองมาทำหัวบล็อก พอเรียนคอมเสร็จก็ ไปกินข้าว ไม่อยากกิน
อะไรเลย ไม่อร่อยสักอย่าง แทมยังขึ้นราคาจาก 15 จาก 20 บาท พอถึงคาบบ่าย ก็ไปเรียนคณิตสองคาบก่อนแหนะ
ครูกบอกว่าจะสอบ แต่ก็เลื่อนนัดอีกละ ลมเสีย พอเรียนคณิตเสร็จ ง่วงนอนมาก ต้องไปเรียนประวัติศาสตร์ต่อ แล้วก็เรียน
อังกฤษครูไม่อยู่หนูร่าเริง แล้วก็ไปเข้าสี แล้วก้เล่นกันอีกแล้ว วันนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ก็เจอกริยาต่ำ ๆ ของเพื่อนในห้องตาเดม
กลับบ้านไปก็ปี้ดแตก ทำกับเราอย่างนี้ได้ยังไง มีสิทธิอะไรมาทำอยากจะ... มันจริง ๆ (ไม่เอา ไม่สุภาพ)End ละกัน
เอ่อ ลืมบอกไป ว่าวันนี้ ท้องฟ้าตอนเย็นสวยมาก
_____________________________________________________________________________________
11 ส.ค. 53
วันนี้ก็ตามเคยหลัยไม่อิ่ม เรียนเคมีคาบแรก อะไรเนี่ย มันจะอยากแบบนี้เรียนไม่รู้เรื่องเลยแถมเรียนเป้สักพักเมาหัวสุด ๆ
พอถาม ตอบผิด มีแพะมึงสิ (Oh my god!!)เต็มหัวเราเลยโครตตลก หัวเราะจนท้องแข็วเลย 555+ พอเรียนเคมีเสร็จ ก็ไป
เรียนคณิตต่อ สอบพร้อม ทำไม่ได้เลย ไม่ได้อ่านหนังสือ รู้เลยผิดประมาณ 5-6 ข้อ จาก 20 ข้อ วันนั้นหดหู่ทั้งวัน แล้วก็ไปกิน
ข้าว แต่ก็ไม่ได้กิน เพราะนั่งปั่นงานฟิสิกส์ครูเกทพอเราทำเสร็จก่อนเพื่อนเพราะเราทำมาจากบ้านแล้วบางส่วน ก็เลยแอบถ่ายรูป
เพื่อนตอนกำลังทำงานกับกินขนม ตลกมาก หัวเราะจนปวดท้อง หลังจากนั้นก็ไปเรียนฟิสิกส์ต่อ นั่งปล่อยผีทั้งคาบ เรียนโพเจคทาย
แบบต่าง ๆ เอาเออไปเลย ไม่รู้เรื่อง แล้วก็ไปเรียนภาษาไทยต่อ อ่านหนังสืออีกแล้ว อากาษก็ร้อน ง่วงอีก ไม่ไหว ๆ เรียนภาษาไทย
เสร็จก็ไปเรียนศิลปะ ตอนแรกก็นั่งฟังเพลง ทำงานไปพอไปสักพัก เพื่อนในห้องมันก็เล่นกัน มันกลุ่มหนึ่งที่กำลังมีปัญหากันอยู่
มันก็มาเล่นเรียนแปปพวกเรา(คลาย ๆ กับเล่นถุงใบใหญ่ที่เราเล่นกัน)พอผ่านไปซักพัก มันก็ชวนคนอื่นไปเล่น มันก็ผู้ว่า "เล่นด้วย
กันมั้ย เกมส์นี้มันไม่ต้องใช้สมองอะไรมาก ใครก็เล่นได้" ตอนนั้นไม่โกรธอะไร แต่พอตอนลงมาข้างล่าง มาเข้าสี ก็กับเอามาคิด
คำที่มันพูดนั้น เหมือนจะด่าว่าเราโง่ ไม่ใช้สมอง เราโกรธมาก ด่าอะไรก็ได้เรายอม แต่ด่าเราโง่เนี่ยสิ ตอนนั้นระเปิดแตกเลย
คนข้าง ๆ ถ่อยหนีหมดเลย ตอนนั้นควบคุมตัวเองไม่ได้เลย ต่อก็ได้แต่โกรธอะนะ ทำอะไรไม่ได้ หลังจากนั้นก็ไปเรียนพิเศษครู
เป้ต่อ ครูมาช้าเลยถ่ายรูปเล่นปล่อยผี พอซักพักกะว่า จะเต้น เพราะเพื่อนเปิดเพลงครูก็เปิดประตูมาพอดี อดเลย END
นี้คือภาพที่เราแอบถ่ายเพื่อน 555+
_____________________________________________________________________________________
12 ส.ค. 53
วันนี้เป็นวันแม่ แต่เราไม่ได้กลับทำอะไรให้แม่เลยกะจะไหว้แม่ แต่ก็ลืม ได้แต่ไหว้ยาย กะจะซื้อของให้แม่แต่ถามแม่ แม่
บอก ไม่ต้องการอะไร ทำตัวเป็นเด็กดี ทุกวันแม่ก็พอใจแล้ว เราก็ไม่ได้ทำอะไรมาก แต่วันนี้ พี่เรานัดจะไปดูหนัง แต่ก็ไม่ได้ดู
เพราะหนังที่จะดู ยังไม่เข้าโรงที่ลำปาง อดเลย เลยต้องกับบ้านพอไปถึงบ้านก็ถ่ายรูปเล่นกับพี่กับน้องที่มา แล้วพอตอนบ่าย แม่กับยายก็ไปงานศพอีก
เลยต้องอยู่บ้านกับตาแล้วก็ไม่มีอะไรทำนั่งเล่มคอมตามเดิม วันนี้ไม่มีอะไรให้ทำมากมาย ขอจบแค่นี้ละกัน END
นี้คือรูปที่เราถ่ายกับพี่ละก็น้อง
_____________________________________________________________________________________
13 ส.ค. 53
วันนี้ผ่านวันแม่ไปหนึ่งวัน วันนี้มีอะไรหลาย ๆ อย่างต้องเครียมากการบ้าน หลายวิชา โดยเฉพาะคอมเนี่ยแหละ ทำบล็อก ทำได้ไม่กี่อัน
เลยอะ ก็เลยนั่งทำ รวมแล้วเปิดคอมตั่งแต่ เก้าโมง ยันเที่ยงคืนแหนะ ทำบล็อ กับดูการ์ตูนไปด้วย สงสารคอมจังและก็นั่งทำไป
รู้สึกว่า ปวดหัว ก็เลยไปหาอะไรกัน รู้สึกว่า วันนี้จะกินเยอะจนตัวบวมเลยแหละ รายการทีวีก็ไม่ค่อยจะมีให้ดู เพราะผ่านวันแม่ไปแล้ว
แต่พอตอนบ่าย ต้องซักผ้าอีก เลยต้องทิ้งคอมไว้ก่อน แล้วค่อยกับมานั่งทำต่อ ซักผ้าเสร็จ ฝนตกอีก อะไรจะปานนั้น ไม่ให้กันตาก
เลย อีฝนบ้า ตอนอากาศร้อน ฝนไม่ยอมตกมาตกตอนซักผ้าเสร็จ พอตกเย็นก็มานั่งทำบล็อกต่อ รวมแล้วทั้งวัน ได้แค่สองบล็อกเอง
เหน่ื่ยมาก ตอนกลางคืนกะจะแต่งรูปทำหัวบล็อก ก็ไม่ได้แต่ง มัวคุยกับเพื่อน แล้วก็ดูการ์ตูน ปาไปเที่ยงคืน งานไม่คืบน่าเลนแม้แต่นัอย
เสียเวลาสุด ๆ ง่วงหละ หลับก่อนละกัน END
_____________________________________________________________________________________
14 ส.ค. 53
วันนี้เป็นวันที่ต้องบันทึกวันสุดท้ายหละ และวันนี้ต้องไปเรียนพิเศษถึงสองที่แหนะ ไม่ไหว งานไม่เสร็จแน่ เลยโดเรียนพิเศษ
ตอนเช้า ก็นั่งทำการบ้านไปพอตอนบ่ายก็ไปเรียนพิเศษ เจอแต่คนเก่ง ๆ เราอะจ๋อยไปเลย รุ่งเดียวกับเรา เค้าเรียนจบไปหลายเรื่องแล้ว
ประมาณ 5-6 เรื่อง แต่เราเนี่ยสิ ได้ 4 อยู่เลย แถมหนังสือแต่ละเรื่อง ร้อยกว่าหน้าแหนะ จะไหวมั้ยเนี่ย ห่างกันลาวฟ้ากับเหว
พอเรียนพิเศษเสร็จ แม่ก็นัดเราไปอีกบ้านนึง เราจะไปเอาหนังสือที่ลืมไว้ แต่พอไปถึงสิ หาไม่เจออะ จะร้องไห้แล้วแต่มันก็ไม่ใช่
หนังสือที่สำคัญอะไรมาก แต่เราสะสมนะ และก็รักมันมาก และก็กลับมาอีกบ้านนึง ก็มานั่งทำบล็อกต่อ นั่งฟังเพลงละก็วันนั้น ที่
สำคัญคือ Reborn ตอนใหม่ออกด้วย มันจะออกเป็นรายอาทิตย์ และก็นั่งแต่งหัวบล็อกต่อ วันนี้ก็ไม่มีอะไรมาก END
_____________________________________________________________________________________
http://diary1-14mykood.blogspot.com/
บล็อกนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาคอมพิวเตอร์
เสนอต่อ ครู ขวัญจิตร สุวรรณวงศ์
ระบบเครือข่ายและการสื่อสาร
สาระสำคัญ ระบบการสื่อสารและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบเครือข่าย (Network System) หมายถึง การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป
เข้าด้วยกัน เช่น การเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ภายในห้องเรียน ภายในองค์กร ระหว่าง อาคาร ระหว่างเมืองต่าง ๆ
ตลอดไปจนถึงการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ทั่วทั้งโลกที่เรียกว่า "อินเทอร์เน็ต" (Internet)
การติดต่อสื่อสารข้อมูลในปัจจุบันมีรากฐานมาจากความพยายามในการเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์
กับคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันโดยอาศัยระบบการสื่อสาร ต่อมาเมื่อมีการใช้คอมพิวเตอร์มากขึ้นความต้องการในการ
ติดต่อระหว่างคอมพิวเตอร์หลายเครื่องในเวลาเดียวกัน เรียกว่า ระบบเครือข่าย (Network System)
ระบบสำนักงานอัตโนมัติ (Office Automation System) เป็นวิธีการทางด้านการสื่อสารข้อมูล
ที่กำลังได้รับการนำมาประยุกต์ใช้ในระบบสำนักงาน ซึ่งเป็นระบบที่มี บุคคลากรในการทำงานน้อยที่สุดโดยอาศัย
เครื่องมือแบบอัตโนมัติและระบบสื่อสารเชื่อมโยงข่าวสาร ระหว่างเครื่องมือเข้าด้วยกัน
สำนักงานที่จัดว่าเป็นสำนักงานอัตโนมัติประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ คือ
Networking System คือ ระบบข่ายงานที่เชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ระหว่างกันทั่วองค์กร
Electronic Data Interchange คือ การสื่อสารข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน โดยอาศัยสัญญาณข้อมูลข่าวสาร
แบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบข่ายงาน
Internet Working คือ การรวมตัวกันของระบบข่ายงานที่กระจายอยู่ทั่วโลก จนกลายเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่
Paperless System คือ ระบบที่ไม่ใช้กระดาษบทบาทที่สำคัญอีกบทบาทหนึ่งคือการให้บริการข้อมูล
ประโยชน์ของการสื่อสารข้อมูล
1. จัดเก็บข้อมูลได้ง่ายและสื่อสารได้รวดเร็ว
2. ความถูกต้องของข้อมูล
3. ความเร็วของการทำงาน
4. ประหยัดต้นทุน
มาตรฐานสำหรับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
การทำงานในสำนักงานจำเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน โต๊ะทำงานแต่ละตัวจะเป็น
เสมือนจุดหนึ่งของการประมวลผล การวิเคราะห์ การแยกแยะข้อมูลและส่งให้โต๊ะอื่นๆ หรือหน่วยอื่น ๆ ต่อไป
การเชื่อมโยงเครือข่ายทำให้เกิดเป็นระบบแห่งการประมวลผล หรือทำให้คอมพิวเตอร์หลาย ๆ ระบบเชื่อมเข้า
ด้วยกัน ระบบสำนักงานอัตโนมัติจึงเป็นเรื่องของการประมวลผลในจุดต่าง ๆ แล้วส่งข้อมูลถึงกันผ่านทาง
เครือข่ายคอมพิวเตอร์
เหตุผลของการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์เข้าหากัน เนื่องจากราคาของคอมพิวเตอร์ถูกลง
และมีความต้องการเพิ่มขีดความสามารถของระบบโดยรวม เพราะอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียวก็
ทำงานได้ในตัวเองอย่างหนึ่ง แต่เมื่อรวมกันจะทำงานได้เพิ่มขึ้นและสามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันและแลกเปลี่ยน
ข้อมูลระหว่างกันได้
การส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่าย จำเป็นต้องมีมาตรฐานกลางที่ทำให้คอมพิวเตอร์
และอุปกรณ์ต่างรุ่น ต่างยี่ห้อ ทุกเครื่องหรือทุกระบบสามารถเชื่อมโยงกันได้ ในระบบเครือข่าย จะมีการดำเนิน
งานพื้นฐานต่าง ๆ กัน เช่น การรับส่งข้อมูล การเข้าใช้งานเครือข่าย การพิมพ์งานโดยใช้อุปกรณ์ของเครือข่าย
เป็นต้น
องค์กรว่าด้วยเรื่องมาตรฐานระหว่างประเทศ จึงได้กำหนด มาตรฐานการจัดระบบการเชื่อมต่อ
สื่อสารเปิด (Open Systems Interconnection : OSI) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้ในการรับส่งข้อมูล
ระหว่าง 2 ปลายทางใด ๆ บนเครือข่ายระบบสื่อสาร มีการแบ่งออกเป็นระดับ (Layer) ได้ 7 ระดับ โดยแต่
ละระดับจะมีการกำหนดมาตรฐานในการติดต่อเป็นของตัวเอง และระดับหนึ่งจะติดต่อกับระดับที่เท่ากัน
ของอีกปลายหนึ่ง ระดับที่สูงกว่าจะสั่งงานและรับข้อมูลที่ประมวลผลแล้วจากระดับที่ต่ำกว่า โดยไม่จำเป็น
ต้องทราบรายละเอียดของระดับที่ต่ำกว่า
การสื่อสารในระดับต่าง ๆ จะอาศัยการควบคุมเพื่อให้ระบบการทำงานนั้นเป็นไปอย่างถูกต้อง
มีมาตรฐานโดยการสื่อสารข้อมูลแบบแพ็กเก็ต จะเกี่ยวพันกับ 3 ระดับล่าง ซึ่งได้แก่
1. ระดับฟิสิคัล (Physical Layer) เป็นระดับที่เกี่ยวข้องกับการรับข้อมูลเป็นบิต ซึ่งเกี่ยวข้องกับระดับ
แรงดันไฟฟ้าช่วงความถี่ คาบเวลา
2. ระดับดาต้าลิงค์ (Data Link Layer) เป็นระดับที่ทำการแปลงการรับส่งข้อมูล ที่มีความไม่แน่นอน
ให้แน่นอนขึ้น โดยการจัดรูปแบบข้อมูลเป็นบล็อก เช่น เฟรม (Frame) พร้อมทั้งมีการตรวจสอบข้อผิดพลาด
3. ระดับเนตเวอร์ค (Network Layer) ทำการส่งข้อมูลเป็นแพ็กเก็ตเข้าไปในเนตเวอร์ค แพ็กเก็ต
ก็อาจเดินทางไปอย่างอิสระ โดยมีการจ่าหน้าแอดเดรสของผู้รับและผู้ส่งวิธีนี้เรียกว่า Datagrame
ปัจจุบันมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมากทั่วโลก แต่ละคนก็ใช้คอมพิวเตอร์ต่างแบบต่างรุ่นกัน
ดังนั้นการสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์จะต้องอาศัยภาษากลางที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้ากันกันได้
ซึ่งภาษากลางนี้มีชื่อทางเทคนิคว่า "โปรโตคอล" (Protocol) สำหรับโปรโตคอลมาตรฐานที่ใช้ใน
การสื่อสารบนอินเทอร์เน็ตมีชื่อเรียกว่า TCP/IP ซึ่งได้แพร่หลายไปทั่วโลกพร้อมๆ กับเครือข่าย
อินเทอร์เน็ต และเป็นโปรโตคอลที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน
การทำงานของโปรโตคอล TCP/IP จะแบ่งข้อมูลที่เครื่องคอมพิวเตอร์ส่งไปยังเครื่องอื่นไปส่วนย่อยๆ
(เรียกว่า แพ็คเก็ต : packet) และส่งไปตามเครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดยการกระจายแพ็กเก็ตเหล่านั้นไป
หลายทาง โดยในแต่ละเส้นทางจะไปรวมกันที่จุดปลายทาง และถูกนำมารวมกันเป็นข้อมูลที่สมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง
รูปแบบการทำงานของโปรโตคอล TCP/IP ที่มีการแบ่งข้อมูลและจัดส่งเป็นส่วนย่อย จะสามารถช่วย
ป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในการติดต่อสื่อสารได้ เพราะถ้าข้อมูลเกิด สูญหายก็จะเกิดเป็นเพียงบางส่วน
เท่านั้นมิใช่หายไปทั้งหมด ซึ่งคอมพิวเตอร์ปลายทางสามารถ ตรวจหาข้อมูลที่สูญหายไปได้ และติดต่อให้
คอมพิวเตอร์ต้นทางส่งเพียงเฉพาะข้อมูลที่หายไปมาใหม่อีกครั้งได้
โปรโตคอล TCP/IP ถูกคิดค้นโดยรัฐบาลสหรัฐและถูกนำมาใช้กับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพี่อป้องกัน
ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ในกรณีที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ใหญ่ในรัฐใดรัฐหนึ่งถูกโจมตีจนได้รับความ
เสียหาย เครือข่ายคอมพิวเตอร์ส่วนที่เหลือก็ยังสามารถติดต่อถึงกันได้อยู่ เพราะข้อมูลจะถูกโอนย้ายไปตามเส้น
ทางอื่นในเครือข่ายแทน
ความหมายของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) คือกลุ่มของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
ที่ถูกนำมาเชื่อมต่อกันผ่านอุปกรณ์ด้านการสื่อสารหรือสื่ออื่นใด ทำให้ผู้ใช้ในระบบเครือข่ายสามารถติดต่อสื่อสาร
แลกเปลี่ยนและใช้ อุปกรณ์ต่าง ๆ ของเครือข่ายร่วมกันได้
การที่เครือข่ายคอมพิวเตอร์มีบทบาท และความสำคัญเพิ่มขึ้นเพราะไมโครคอมพิวเตอร์ได้รับการใช้งาน
อย่างแพร่หลาย จึงเกิดความต้องการที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของระบบ
ให้สูงขึ้นเพิ่มการใช้งานด้านต่าง ๆ และลดต้นทุนระบบโดยรวมลง เครือข่ายมีตั้งแต่ขนาดเล็กที่เชื่อมต่อกันด้วย
คอมพิวเตอร์ เพียงสองสามเครื่องเพื่อใช้งานในบ้าน หรือในบริษัทเล็กๆ ไปจนถึงเครือข่ายระดับโลกที่ครอบคลุมไป
เกือบทุกประเทศ เครือข่ายสามารถเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นจำนวนมากทั่วโลกเข้าด้วยกันเราเรียกว่า เครือข่ายอินเทอร์เน็ต
โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1. เครือข่ายเฉพาะที่ (Local Area Network : LAN)
2. เครือข่ายเมือง (Metropolitan Area Network : MAN)
3. เครือข่ายบริเวณกว้าง ( Wide Area Network : WAN
การต่อเชื่อมเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระยะใกล้
หากต้องการที่จะนำเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมาต่อเป็นระบบ โดยใช้ขีดความสามารถเดิม
ที่มีอยู่ สามารถทำได้ด้วยวิธีการง่าย ๆ ดังนี้
1. การเชื่อมต่อผ่านช่องทาง Com1, Com2 และ LPT เป็นวิธีที่นำคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ต่อผ่านช่อง
ทาง COM1 หรือ COM2 เพื่อการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างกัน
2. การเชื่อมต่อเข้ากับบัฟเฟอร์เครื่องพิมพ์ เป็นการแบ่งกันใช้เครื่องพิมพ์เพื่อให้การใช้ทรัพยากร
เครื่องพิมพ์ (Printer) เกิดประโยชน์มากขึ้น
3. การเชื่อมต่อโดยใช้ระบบสลับสายข้อมูล เป็นวิธีการต่อขยายระบบแบบง่าย ๆ ที่ใช้มือช่วยระบบ
สลับสายข้อมูลทำหน้าที่เหมือนชุมสายโทรศัพท์
4. การเชื่อมต่อผ่านระบบผู้ใช้หลายคนหลายช่องทาง ระบบผู้ใช้หลายคนขนาดเล็ก ที่อยู่บนไมโคร
คอมพิวเตอร์มีหลายระบบ เช่น ระบบยูนิกซ์ ระบบลีนุกซ์ ระบบดังกล่าวสามารถเชื่อมขยายเข้ากับสถานีย่อย
ได้มาก เป็นระบบที่ใช้งานร่วมกันได้ในราคาประหยัด
โครงสร้างระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Network Topology)
เครือข่ายแบบบัส (Bus Network) เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ
ด้วยสายเคเบิลยาวต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ โดยจะมีคอนเน็กเตอร์เป็นตัวเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์เข้ากับสาย
เคเบิล ในการส่งข้อมูลจะมีคอมพิวเตอร์เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งข้อมูลได้ในช่วงเวลาหนึ่งๆ
เครือข่ายแบบดาว (Star Network) เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ เข้ากับอุปกรณ์ที่เป็น
จุดศูนย์กลางของเครือข่ายโดยการนำสถานีต่าง ๆ มาต่อร่วมกันกับหน่วยสลับสายกลาง การติดต่อสื่อสารระหว่างสถานี
จะกระทำได้ด้วยการติดต่อผ่านทางวงจรของหน่วยสลับสายกลาง การทำงานของหน่วยสลับสายกลาง จึงเป็นศูนย์กลาง
ของการติดต่อ วงจรเชื่อมโยงระหว่างสถานี ต่าง ๆ ที่ต้องการติดต่อกัน
เครือข่ายแบบวงแหวน (Ring Network) เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อ คอมพิวเตอร์ด้วยสายคเบิล
ยาวเส้นเดียวในลักษณะวงแหวน การรับส่งข้อมูลในเครือข่ายวงแหวน จะใช้ทิศทางเดียวเท่านั้น เมื่อคอมพิวเตอร์
เครื่องหนึ่งส่งข้อมูลมันก็จะส่งไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องถัดไป ถ้าข้อมูลที่รับมาไม่ตรงตามที่คอมพิวเตอร์เครื่องต้นทาง
ระบุ ก็จะส่งผ่านไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องถัดไปซึ่งจะเป็นขั้นตอน อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงคอมพิวเตอร์ปลายทาง
ที่ถูกระบุตามที่อยู่จากเครื่องต้นทาง
เครือข่ายแบบต้นไม้ (Tree Network) เป็นเครือข่ายที่มีผสมผสานโครงสร้างเครือข่ายแบบต่างๆ
เข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ การจัดส่งข้อมูลสามารถส่งไปถึงได้ทุกสถานี การสื่อสารข้อมูลจะผ่านตัวกลาง
ไปยังสถานีอื่น ๆ ได้ทั้งหมด เพราะทุกสถานีจะอยู่บนทางเชื่อม รับส่งข้อมูลเดียวกัน
องค์ประกอบของเครือข่าย ประกอบด้วย
ฮาร์ดแวร์ (Hardware)
คอมพิวเตอร์ (Client Computer)
เซอร์เวอร์ (Server)
ฮับ (Hub)
บริดจ์ (Bridge)
เราท์เตอร์ (Router)
เกตเวย์ (Gateway)
โมเด็ม (Modem)
เน็ตเวอร์คการ์ด (Network Card)
ซอฟต์แวร์ (Software)
ระบบปฏิบัติการของระบบเครือข่าย (Network Operating Sytems)
แอบพลิเคชั่นของเครือข่าย (Network Application Sytems)
ตัวนำข้อมูล (Media Transmission)
สายส่งข้อมูล หรือ Cable เป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่งในระบบ Network ที่ใช้เป็นทางเดินของข้อมูล
ระหว่าง Workstation กับ Server มีลักษณะคล้ายสายไฟหรือสายโทรศัพท์แล้วแต่ชนิด ของ Cable แต่การเลือกใช้
Cable นั้นควรคำนึงถึงความปลอดภัย (Safety) และคลื่นรบกวน (Interference) เป็นสำคัญ สายส่งข้อมูลที่ดี
ไม่ควรเป็น ตัวนำไฟ เมื่อเกิดอัคคีภัยขึ้น และสามารถ ป้องกันคลื่นรบกวนจากอำนาจแม่เหล็ก และคลื่นวิทยุได้
ลักษณะของสายส่งข้อมูล แบ่งได้ดังนี้
สาย Coaxial Cable หรือ สาย Coax นอกจากใช้ในระบบ Network แล้วยังสามารถ นำไปใช้กับระบบ
TV และ Mainframe ได้ด้วย สาย Coax นั้นเป็นสายที่ประกอบไปด้วยแกนของ ทองแดงหุ้มด้วยฉนวน และสายดิน
(ลักษณะเป็นฝอย) หุ้มด้วยฉนวนบางอีกชั้นหนึ่ง ในปัจจุบันได้เปลี่ยนจากลวดทองแดงมาเป็นลวดเงินที่พันกันหลาย ๆ
เส้นแทน ทั้งนี้เพื่อป้องกันการรบกวน ที่เรียกว่า "Cross Talk" ซึ่งเป็นการรบกวนที่เกิดจากสายสัญญาณข้างเคียง
สาย Twisted Pair Cable เป็นสายส่งสัญญาณที่ประกอบไปด้วยสายทองแดง 2 เส้น ขึ้นไปบิดกันเป็นเกลียว
(Twist) แล้วหุ้มด้วยฉนวน โดยแบ่งเป็น 2 แบบคือ แบบมี Shield และ แบบไม่มี Shield จะมีฉนวนในการ
ป้องกันสัญญาณรบกวน หรือระบบป้องกันสัญญาณรบกวน โดยเรียกสาย Cable ทั้งสองนี้ว่า "Shielded Twisted Pair (STP)" และ "Unshielded Twisted Pair (UTP)"
สาย Shielded Twisted Pair (STP) หรือที่เรียกว่า "สายคู่บิดเกลียวชนิดหุ้มฉนวน" เป็นสายคู่
บิดเกลียวที่หุ้มด้วยฉนวนชั้นนอกที่หนาอีกชั้นหนึ่ง เพื่อป้องกันการรบกวนของคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้า
สาย Unshielded Twisted Pair (UTP) หรือที่เรียกว่า "สายคู่บิดเกลียว ชนิดไม่หุ้มฉนวน"
เป็นสายคู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยฉนวนชั้นนอกที่บางอีกชั้น ทำให้สะดวก ในการโค้งงอ สาย UTP เป็นสายที่มีราคาถูก
และ หาง่าย แต่ป้องกันสัญญาณรบกวน ได้ไม่ดีเท่ากับสาย STP
สาย Fiber Optic Cable เป็นสายใยแก้วนำแสงชนิดใหม่ ประกอบด้วยท่อใยแก้ว ที่มีขนาดเล็กและบางมาก
เรียกว่า "CORE" ล้อมรอบด้วยชั้นของใยแก้วที่เรียกว่า "CLADDING" อัตราการส่งถ่ายข้อมูลสูงถึง 565 เมกะบิตต่อวินาที หรือมากกว่า ป้องกันสัญญาณรบกวนได้ดีมาก ขนาดของสายเล็กมากและเบามากแต่มีราคาแพง
นอกจากการสื่อสารข้อมูลตามสายรูปแบบต่าง ๆ แล้ว ยังมีการส่งข้อมูลแบบไร้สาย (Wireless Transmission)
ซึ่งเป็นการส่งข้อมูลผ่านบรรยากาศโดยไม่ต้องอาศัยสายส่ง สัญญาณใด ๆ เช่น ระบบไมโครเวฟ ดาวเทียมสื่อสาร
โทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นต้น ซึ่งเป็น สัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่แตกต่างกัน ทำให้การสื่อสาร ทำได้รวดเร็ว
และครอบคลุมทุกมุมโลก
เครดิตจาก http://www.skn.ac.th/a_cd/printout/printpage.html
http://hicomputer41053.blogspot.com
บล็อกนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาคอมพิวเตอร์
เสนอต่อ ครู ขวัญจิตร สุวรรณวงศ์
ระบบเครือข่าย (Network System) หมายถึง การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป
เข้าด้วยกัน เช่น การเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ภายในห้องเรียน ภายในองค์กร ระหว่าง อาคาร ระหว่างเมืองต่าง ๆ
ตลอดไปจนถึงการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ทั่วทั้งโลกที่เรียกว่า "อินเทอร์เน็ต" (Internet)
การติดต่อสื่อสารข้อมูลในปัจจุบันมีรากฐานมาจากความพยายามในการเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์
กับคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันโดยอาศัยระบบการสื่อสาร ต่อมาเมื่อมีการใช้คอมพิวเตอร์มากขึ้นความต้องการในการ
ติดต่อระหว่างคอมพิวเตอร์หลายเครื่องในเวลาเดียวกัน เรียกว่า ระบบเครือข่าย (Network System)
ระบบสำนักงานอัตโนมัติ (Office Automation System) เป็นวิธีการทางด้านการสื่อสารข้อมูล
ที่กำลังได้รับการนำมาประยุกต์ใช้ในระบบสำนักงาน ซึ่งเป็นระบบที่มี บุคคลากรในการทำงานน้อยที่สุดโดยอาศัย
เครื่องมือแบบอัตโนมัติและระบบสื่อสารเชื่อมโยงข่าวสาร ระหว่างเครื่องมือเข้าด้วยกัน
สำนักงานที่จัดว่าเป็นสำนักงานอัตโนมัติประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ คือ
Networking System คือ ระบบข่ายงานที่เชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ระหว่างกันทั่วองค์กร
Electronic Data Interchange คือ การสื่อสารข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน โดยอาศัยสัญญาณข้อมูลข่าวสาร
แบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบข่ายงาน
Internet Working คือ การรวมตัวกันของระบบข่ายงานที่กระจายอยู่ทั่วโลก จนกลายเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่
Paperless System คือ ระบบที่ไม่ใช้กระดาษบทบาทที่สำคัญอีกบทบาทหนึ่งคือการให้บริการข้อมูล
ประโยชน์ของการสื่อสารข้อมูล
1. จัดเก็บข้อมูลได้ง่ายและสื่อสารได้รวดเร็ว
2. ความถูกต้องของข้อมูล
3. ความเร็วของการทำงาน
4. ประหยัดต้นทุน
มาตรฐานสำหรับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
การทำงานในสำนักงานจำเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน โต๊ะทำงานแต่ละตัวจะเป็น
เสมือนจุดหนึ่งของการประมวลผล การวิเคราะห์ การแยกแยะข้อมูลและส่งให้โต๊ะอื่นๆ หรือหน่วยอื่น ๆ ต่อไป
การเชื่อมโยงเครือข่ายทำให้เกิดเป็นระบบแห่งการประมวลผล หรือทำให้คอมพิวเตอร์หลาย ๆ ระบบเชื่อมเข้า
ด้วยกัน ระบบสำนักงานอัตโนมัติจึงเป็นเรื่องของการประมวลผลในจุดต่าง ๆ แล้วส่งข้อมูลถึงกันผ่านทาง
เครือข่ายคอมพิวเตอร์
เหตุผลของการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์เข้าหากัน เนื่องจากราคาของคอมพิวเตอร์ถูกลง
และมีความต้องการเพิ่มขีดความสามารถของระบบโดยรวม เพราะอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียวก็
ทำงานได้ในตัวเองอย่างหนึ่ง แต่เมื่อรวมกันจะทำงานได้เพิ่มขึ้นและสามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันและแลกเปลี่ยน
ข้อมูลระหว่างกันได้
การส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่าย จำเป็นต้องมีมาตรฐานกลางที่ทำให้คอมพิวเตอร์
และอุปกรณ์ต่างรุ่น ต่างยี่ห้อ ทุกเครื่องหรือทุกระบบสามารถเชื่อมโยงกันได้ ในระบบเครือข่าย จะมีการดำเนิน
งานพื้นฐานต่าง ๆ กัน เช่น การรับส่งข้อมูล การเข้าใช้งานเครือข่าย การพิมพ์งานโดยใช้อุปกรณ์ของเครือข่าย
เป็นต้น
องค์กรว่าด้วยเรื่องมาตรฐานระหว่างประเทศ จึงได้กำหนด มาตรฐานการจัดระบบการเชื่อมต่อ
สื่อสารเปิด (Open Systems Interconnection : OSI) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้ในการรับส่งข้อมูล
ระหว่าง 2 ปลายทางใด ๆ บนเครือข่ายระบบสื่อสาร มีการแบ่งออกเป็นระดับ (Layer) ได้ 7 ระดับ โดยแต่
ละระดับจะมีการกำหนดมาตรฐานในการติดต่อเป็นของตัวเอง และระดับหนึ่งจะติดต่อกับระดับที่เท่ากัน
ของอีกปลายหนึ่ง ระดับที่สูงกว่าจะสั่งงานและรับข้อมูลที่ประมวลผลแล้วจากระดับที่ต่ำกว่า โดยไม่จำเป็น
ต้องทราบรายละเอียดของระดับที่ต่ำกว่า
การสื่อสารในระดับต่าง ๆ จะอาศัยการควบคุมเพื่อให้ระบบการทำงานนั้นเป็นไปอย่างถูกต้อง
มีมาตรฐานโดยการสื่อสารข้อมูลแบบแพ็กเก็ต จะเกี่ยวพันกับ 3 ระดับล่าง ซึ่งได้แก่
1. ระดับฟิสิคัล (Physical Layer) เป็นระดับที่เกี่ยวข้องกับการรับข้อมูลเป็นบิต ซึ่งเกี่ยวข้องกับระดับ
แรงดันไฟฟ้าช่วงความถี่ คาบเวลา
2. ระดับดาต้าลิงค์ (Data Link Layer) เป็นระดับที่ทำการแปลงการรับส่งข้อมูล ที่มีความไม่แน่นอน
ให้แน่นอนขึ้น โดยการจัดรูปแบบข้อมูลเป็นบล็อก เช่น เฟรม (Frame) พร้อมทั้งมีการตรวจสอบข้อผิดพลาด
3. ระดับเนตเวอร์ค (Network Layer) ทำการส่งข้อมูลเป็นแพ็กเก็ตเข้าไปในเนตเวอร์ค แพ็กเก็ต
ก็อาจเดินทางไปอย่างอิสระ โดยมีการจ่าหน้าแอดเดรสของผู้รับและผู้ส่งวิธีนี้เรียกว่า Datagrame
ปัจจุบันมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมากทั่วโลก แต่ละคนก็ใช้คอมพิวเตอร์ต่างแบบต่างรุ่นกัน
ดังนั้นการสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์จะต้องอาศัยภาษากลางที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้ากันกันได้
ซึ่งภาษากลางนี้มีชื่อทางเทคนิคว่า "โปรโตคอล" (Protocol) สำหรับโปรโตคอลมาตรฐานที่ใช้ใน
การสื่อสารบนอินเทอร์เน็ตมีชื่อเรียกว่า TCP/IP ซึ่งได้แพร่หลายไปทั่วโลกพร้อมๆ กับเครือข่าย
อินเทอร์เน็ต และเป็นโปรโตคอลที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน
การทำงานของโปรโตคอล TCP/IP จะแบ่งข้อมูลที่เครื่องคอมพิวเตอร์ส่งไปยังเครื่องอื่นไปส่วนย่อยๆ
(เรียกว่า แพ็คเก็ต : packet) และส่งไปตามเครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดยการกระจายแพ็กเก็ตเหล่านั้นไป
หลายทาง โดยในแต่ละเส้นทางจะไปรวมกันที่จุดปลายทาง และถูกนำมารวมกันเป็นข้อมูลที่สมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง
รูปแบบการทำงานของโปรโตคอล TCP/IP ที่มีการแบ่งข้อมูลและจัดส่งเป็นส่วนย่อย จะสามารถช่วย
ป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในการติดต่อสื่อสารได้ เพราะถ้าข้อมูลเกิด สูญหายก็จะเกิดเป็นเพียงบางส่วน
เท่านั้นมิใช่หายไปทั้งหมด ซึ่งคอมพิวเตอร์ปลายทางสามารถ ตรวจหาข้อมูลที่สูญหายไปได้ และติดต่อให้
คอมพิวเตอร์ต้นทางส่งเพียงเฉพาะข้อมูลที่หายไปมาใหม่อีกครั้งได้
โปรโตคอล TCP/IP ถูกคิดค้นโดยรัฐบาลสหรัฐและถูกนำมาใช้กับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพี่อป้องกัน
ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ในกรณีที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ใหญ่ในรัฐใดรัฐหนึ่งถูกโจมตีจนได้รับความ
เสียหาย เครือข่ายคอมพิวเตอร์ส่วนที่เหลือก็ยังสามารถติดต่อถึงกันได้อยู่ เพราะข้อมูลจะถูกโอนย้ายไปตามเส้น
ทางอื่นในเครือข่ายแทน
ความหมายของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) คือกลุ่มของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
ที่ถูกนำมาเชื่อมต่อกันผ่านอุปกรณ์ด้านการสื่อสารหรือสื่ออื่นใด ทำให้ผู้ใช้ในระบบเครือข่ายสามารถติดต่อสื่อสาร
แลกเปลี่ยนและใช้ อุปกรณ์ต่าง ๆ ของเครือข่ายร่วมกันได้
การที่เครือข่ายคอมพิวเตอร์มีบทบาท และความสำคัญเพิ่มขึ้นเพราะไมโครคอมพิวเตอร์ได้รับการใช้งาน
อย่างแพร่หลาย จึงเกิดความต้องการที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของระบบ
ให้สูงขึ้นเพิ่มการใช้งานด้านต่าง ๆ และลดต้นทุนระบบโดยรวมลง เครือข่ายมีตั้งแต่ขนาดเล็กที่เชื่อมต่อกันด้วย
คอมพิวเตอร์ เพียงสองสามเครื่องเพื่อใช้งานในบ้าน หรือในบริษัทเล็กๆ ไปจนถึงเครือข่ายระดับโลกที่ครอบคลุมไป
เกือบทุกประเทศ เครือข่ายสามารถเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นจำนวนมากทั่วโลกเข้าด้วยกันเราเรียกว่า เครือข่ายอินเทอร์เน็ต
โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1. เครือข่ายเฉพาะที่ (Local Area Network : LAN)
2. เครือข่ายเมือง (Metropolitan Area Network : MAN)
3. เครือข่ายบริเวณกว้าง ( Wide Area Network : WAN
การต่อเชื่อมเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระยะใกล้
หากต้องการที่จะนำเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมาต่อเป็นระบบ โดยใช้ขีดความสามารถเดิม
ที่มีอยู่ สามารถทำได้ด้วยวิธีการง่าย ๆ ดังนี้
1. การเชื่อมต่อผ่านช่องทาง Com1, Com2 และ LPT เป็นวิธีที่นำคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ต่อผ่านช่อง
ทาง COM1 หรือ COM2 เพื่อการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างกัน
2. การเชื่อมต่อเข้ากับบัฟเฟอร์เครื่องพิมพ์ เป็นการแบ่งกันใช้เครื่องพิมพ์เพื่อให้การใช้ทรัพยากร
เครื่องพิมพ์ (Printer) เกิดประโยชน์มากขึ้น
3. การเชื่อมต่อโดยใช้ระบบสลับสายข้อมูล เป็นวิธีการต่อขยายระบบแบบง่าย ๆ ที่ใช้มือช่วยระบบ
สลับสายข้อมูลทำหน้าที่เหมือนชุมสายโทรศัพท์
4. การเชื่อมต่อผ่านระบบผู้ใช้หลายคนหลายช่องทาง ระบบผู้ใช้หลายคนขนาดเล็ก ที่อยู่บนไมโคร
คอมพิวเตอร์มีหลายระบบ เช่น ระบบยูนิกซ์ ระบบลีนุกซ์ ระบบดังกล่าวสามารถเชื่อมขยายเข้ากับสถานีย่อย
ได้มาก เป็นระบบที่ใช้งานร่วมกันได้ในราคาประหยัด
โครงสร้างระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Network Topology)
เครือข่ายแบบบัส (Bus Network) เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ
ด้วยสายเคเบิลยาวต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ โดยจะมีคอนเน็กเตอร์เป็นตัวเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์เข้ากับสาย
เคเบิล ในการส่งข้อมูลจะมีคอมพิวเตอร์เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งข้อมูลได้ในช่วงเวลาหนึ่งๆ
เครือข่ายแบบดาว (Star Network) เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ เข้ากับอุปกรณ์ที่เป็น
จุดศูนย์กลางของเครือข่ายโดยการนำสถานีต่าง ๆ มาต่อร่วมกันกับหน่วยสลับสายกลาง การติดต่อสื่อสารระหว่างสถานี
จะกระทำได้ด้วยการติดต่อผ่านทางวงจรของหน่วยสลับสายกลาง การทำงานของหน่วยสลับสายกลาง จึงเป็นศูนย์กลาง
ของการติดต่อ วงจรเชื่อมโยงระหว่างสถานี ต่าง ๆ ที่ต้องการติดต่อกัน
เครือข่ายแบบวงแหวน (Ring Network) เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อ คอมพิวเตอร์ด้วยสายคเบิล
ยาวเส้นเดียวในลักษณะวงแหวน การรับส่งข้อมูลในเครือข่ายวงแหวน จะใช้ทิศทางเดียวเท่านั้น เมื่อคอมพิวเตอร์
เครื่องหนึ่งส่งข้อมูลมันก็จะส่งไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องถัดไป ถ้าข้อมูลที่รับมาไม่ตรงตามที่คอมพิวเตอร์เครื่องต้นทาง
ระบุ ก็จะส่งผ่านไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องถัดไปซึ่งจะเป็นขั้นตอน อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงคอมพิวเตอร์ปลายทาง
ที่ถูกระบุตามที่อยู่จากเครื่องต้นทาง
เครือข่ายแบบต้นไม้ (Tree Network) เป็นเครือข่ายที่มีผสมผสานโครงสร้างเครือข่ายแบบต่างๆ
เข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ การจัดส่งข้อมูลสามารถส่งไปถึงได้ทุกสถานี การสื่อสารข้อมูลจะผ่านตัวกลาง
ไปยังสถานีอื่น ๆ ได้ทั้งหมด เพราะทุกสถานีจะอยู่บนทางเชื่อม รับส่งข้อมูลเดียวกัน
องค์ประกอบของเครือข่าย ประกอบด้วย
ฮาร์ดแวร์ (Hardware)
คอมพิวเตอร์ (Client Computer)
เซอร์เวอร์ (Server)
ฮับ (Hub)
บริดจ์ (Bridge)
เราท์เตอร์ (Router)
เกตเวย์ (Gateway)
โมเด็ม (Modem)
เน็ตเวอร์คการ์ด (Network Card)
ซอฟต์แวร์ (Software)
ระบบปฏิบัติการของระบบเครือข่าย (Network Operating Sytems)
แอบพลิเคชั่นของเครือข่าย (Network Application Sytems)
ตัวนำข้อมูล (Media Transmission)
สายส่งข้อมูล หรือ Cable เป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่งในระบบ Network ที่ใช้เป็นทางเดินของข้อมูล
ระหว่าง Workstation กับ Server มีลักษณะคล้ายสายไฟหรือสายโทรศัพท์แล้วแต่ชนิด ของ Cable แต่การเลือกใช้
Cable นั้นควรคำนึงถึงความปลอดภัย (Safety) และคลื่นรบกวน (Interference) เป็นสำคัญ สายส่งข้อมูลที่ดี
ไม่ควรเป็น ตัวนำไฟ เมื่อเกิดอัคคีภัยขึ้น และสามารถ ป้องกันคลื่นรบกวนจากอำนาจแม่เหล็ก และคลื่นวิทยุได้
ลักษณะของสายส่งข้อมูล แบ่งได้ดังนี้
สาย Coaxial Cable หรือ สาย Coax นอกจากใช้ในระบบ Network แล้วยังสามารถ นำไปใช้กับระบบ
TV และ Mainframe ได้ด้วย สาย Coax นั้นเป็นสายที่ประกอบไปด้วยแกนของ ทองแดงหุ้มด้วยฉนวน และสายดิน
(ลักษณะเป็นฝอย) หุ้มด้วยฉนวนบางอีกชั้นหนึ่ง ในปัจจุบันได้เปลี่ยนจากลวดทองแดงมาเป็นลวดเงินที่พันกันหลาย ๆ
เส้นแทน ทั้งนี้เพื่อป้องกันการรบกวน ที่เรียกว่า "Cross Talk" ซึ่งเป็นการรบกวนที่เกิดจากสายสัญญาณข้างเคียง
สาย Twisted Pair Cable เป็นสายส่งสัญญาณที่ประกอบไปด้วยสายทองแดง 2 เส้น ขึ้นไปบิดกันเป็นเกลียว
(Twist) แล้วหุ้มด้วยฉนวน โดยแบ่งเป็น 2 แบบคือ แบบมี Shield และ แบบไม่มี Shield จะมีฉนวนในการ
ป้องกันสัญญาณรบกวน หรือระบบป้องกันสัญญาณรบกวน โดยเรียกสาย Cable ทั้งสองนี้ว่า "Shielded Twisted Pair (STP)" และ "Unshielded Twisted Pair (UTP)"
สาย Shielded Twisted Pair (STP) หรือที่เรียกว่า "สายคู่บิดเกลียวชนิดหุ้มฉนวน" เป็นสายคู่
บิดเกลียวที่หุ้มด้วยฉนวนชั้นนอกที่หนาอีกชั้นหนึ่ง เพื่อป้องกันการรบกวนของคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้า
สาย Unshielded Twisted Pair (UTP) หรือที่เรียกว่า "สายคู่บิดเกลียว ชนิดไม่หุ้มฉนวน"
เป็นสายคู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยฉนวนชั้นนอกที่บางอีกชั้น ทำให้สะดวก ในการโค้งงอ สาย UTP เป็นสายที่มีราคาถูก
และ หาง่าย แต่ป้องกันสัญญาณรบกวน ได้ไม่ดีเท่ากับสาย STP
สาย Fiber Optic Cable เป็นสายใยแก้วนำแสงชนิดใหม่ ประกอบด้วยท่อใยแก้ว ที่มีขนาดเล็กและบางมาก
เรียกว่า "CORE" ล้อมรอบด้วยชั้นของใยแก้วที่เรียกว่า "CLADDING" อัตราการส่งถ่ายข้อมูลสูงถึง 565 เมกะบิตต่อวินาที หรือมากกว่า ป้องกันสัญญาณรบกวนได้ดีมาก ขนาดของสายเล็กมากและเบามากแต่มีราคาแพง
นอกจากการสื่อสารข้อมูลตามสายรูปแบบต่าง ๆ แล้ว ยังมีการส่งข้อมูลแบบไร้สาย (Wireless Transmission)
ซึ่งเป็นการส่งข้อมูลผ่านบรรยากาศโดยไม่ต้องอาศัยสายส่ง สัญญาณใด ๆ เช่น ระบบไมโครเวฟ ดาวเทียมสื่อสาร
โทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นต้น ซึ่งเป็น สัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่แตกต่างกัน ทำให้การสื่อสาร ทำได้รวดเร็ว
และครอบคลุมทุกมุมโลก
เครดิตจาก http://www.skn.ac.th/a_cd/printout/printpage.html
http://hicomputer41053.blogspot.com
บล็อกนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาคอมพิวเตอร์
เสนอต่อ ครู ขวัญจิตร สุวรรณวงศ์
วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553
คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (อังกฤษ: Personal computer) หรือ พีซี (อังกฤษ: PC) เดิมทีเป็นคำไว้ใช้เรียก เครื่องคอมพิวเตอร์ราคาย่อมเยา สำหรับใช้ส่วนบุคคล แต่ในปัจจุบันยังหมายรวมถึง คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (desktop computer) คอมพิวเตอร์แบบพกพา (laptop computer) และคอมพิวเตอร์แบบรับข้อมูลด้วยการเขียนบนจอภาพ (tablet computer) โปรแกรมระบบปฏิบัติการ (operating systems) ที่นิยมใช้ได้แก่ โปรแกรม Microsoft Windows, โปรแกรม Mac OS X และ Linux โดยหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) นิยมใช้ไมโครโปรเซสเซอร์ตระกูล x86 (x86-compatible CPUs) , ARM architecture CPUs และ PowerPC CPUs โปรแกรมประยุกต์ (application software) ได้แก่ โปรแกรมประมวลผลคำ (word processing) โปรแกรมตารางคำนวณ (spreadsheets) โปรแกรมฐานข้อมูล (databases) โปรแกรมเกมส์ และโปรแกรมสนับสนุนการทำงานส่วนบุคคลอีกมากมาย เครื่องพ๊ซีที่ทันสมัยจะมาพร้อมกับอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอรเน็ตความเร็วสูง (high-speed internet) หรือ โมเด็ม ให้ผู้ใช้ได้เข้าถึง World Wide Web และแหล่งข้อมูลมหาศาล
เครื่องพีซีอาจเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ประจำบ้าน (home computer) หรืออาจพบใช้ในงานสำนักงานที่มักจะเชื่อมต่อกันเป็นระบบเครือข่ายท้องถิ่น (local area network) ลักษณะเด่นจะเป็นเครื่องที่ถูกใช้งานโดยคนเพียงคนเดียว ซึ่งต่างจากระบบประมวลผลแบบ batch processing หรือ time-sharing ที่มีความซับซ้อน ราคาแพง มีการใช้งานจากคนหมู่มากพร้อม ๆ กัน หรือระบบประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ที่ต้องการทีมทำงานเต็มเวลาคอยควบคุมการทำ งาน
ผู้ใช้ "พีซี" ในยุคแรกต้องเขียนโปรแกรมขึ้นใช้งานเอง แต่มาในปัจจุบัน ผู้ใช้มีโปรแกรมให้เลือกใช้ที่หลากหลายทั้งแบบที่ซื้อขายเชิงพาณิชย์และไม่ เชิงพาณิชย์ ซึ่งล้วนแล้วแต่ติดตั้งได้ง่าย
คำว่า "คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล" เริ่มมีใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) สำหรับกล่าวถึงเครื่อง Xerox PARC ของบริษัท Xerox Alto อย่างไรก็ตามจากความประสบความสำเร็จของไอบีเอ็มพีซี ทำให้การใช้คำว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหมายถึง เครื่องไอบีเอ็มพีซี
* เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นพีซี ของไอบีเอ็ม ซึ่งเป็นที่มาของคำดังกล่าว - ดู ไอบีเอ็มพีซี
* คำสามัญ สำหรับเรียกเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ที่เข้ากันได้กับข้อกำหนดจำเพาะของไอบีเอ็ม (IBM compatible)
* คำสามัญ ที่บางครั้งใช้เรียกเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ทุกชนิด
ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
เครื่องคอมพิวเตอร์จะแบ่งออกเป็น ส่วนของฮาร์ดแวร์ (Hardware) และ ซอฟต์แวร์ (Software) ซึ่ง ส่วนของ Hardware จะประกอบด้วย
* CPU หรือ หน่วยประมวลผลกลาง
* ซ็อกเก็ตซีพียู (CPU Socket)
* ชิปเซต (Chip Set)
* เมนบอร์ด (mainboard) หรือ มาเธอร์บอร์ด (motherboard)
* หน่วยความจำ (Memory) แบ่งออกเป็น รอม (Read-Only Memory, ROM) และ แรม (Random-Access Memory, RAM)
* ฮาร์ดดิสก์ (Harddisk)
* ฟลอปปีดิสก์ (floppy disk)
* Compact Disc (CD) แผ่นซีดี (ซีดี)
* การ์ดแสดงผล (Display Card)
* การ์ดเสียง (Sound Card)
* จอภาพ (Monitor)
* เคส (Case)
* เมาส์ (Mouse)
* แป้นพิมพ์ (Keyboard)
ชนิดของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
* คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (Desktop computer) สมัยก่อนที่เครื่อง พีซี จะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย หากมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดพอวางบนโต๊ะทำงานได้ก็ถือว่ามีขนาดเล็ก แล้ว ปัจจุบัน "คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ" สื่อความไปในทางรูปทรงของตัวเครื่อง (computer case) ที่มีหลากหลายนับแต่รูปทรงตั้งสูงขนาดใหญ่แบบ หอคอย (tower case) หรือ ทรงเล็ก (small form factor) ที่วางแอบไว้หลังจอภาพ LCD ได้ คำว่า Desktop จึงหมายถึงรูปทรงของตัวเครื่องที่หลากหลาย ซึ่งปกติพยายามจะจัดวางโดยให้จอภาพวางอยู่บนตัวเครื่องเพื่อประหยัดพื้นที่ วางบนโต๊ะทำงานนั่นเอง คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะในปัจจุบันจะมีส่วนของจอภาพ และแป้นพิมพ์แยกจากกัน
* Nettop เป็นชนิดที่แตกแขนงมาจาก คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ชื่อ Nettop ถูกเรียกขานโดยบริษัท อินเทล ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 ซึ่งหมายถึงคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่ปรับลดต้นทุนและความสามารถลงซึ่งก็คล้าย กับเครื่องแบบ Netbook
* คอมพิวเตอร์ขนาดวางตัก (Laptop) หรือเรียกว่า คอมพิวเตอร์ขนาดสมุดจดบันทึก (notebook) เป็นเครื่องพีซีที่มีขนาดเล็กลง นำหนักเบา เคลื่อนย้ายสะดวก ประหยัดพลังงาน มีแบตเตอรี่เป็นแหล่งพลังงานเสริมเพื่อสะดวกในการใช้งานในสถานที่ไม่สะดวกจะใช้ไฟบ้าน
* เน็ตบุ๊ก (Netbook) เป็นการปรับเครื่องแล็ปทอปให้มีขนาดเล็ก นำหนักเบาขึ้น ประหยัดพลังงาน พกพาสะดวก ทำให้สามารถใช้งานขณะเคลื่อนที่ได้ ต่างจาก Laptop ที่เคลื่อนย้ายสะดวก แต่ขณะใช้งานเครื่องจะวางอยู่กับที่ Netbook จึงมีขนาดเล็กกว่า Laptop ข้อเด่นของเครื่องแบบนี้คือการใช้งานอินเทอร์เน็ตไร้สาย เครื่องมีขนาดจอภาพระหว่าง 7" ถึง 9" ตั้งค่าความละเอียดในการแสดงภาพที่ค่า 800x600 และ 1024x768 หน่วยจัดเก็บข้อมูลสำรองขนาด 4 GB ถึง 16 GB ตัวอย่างได้แก่เครื่อง Eee PC
* คอมพิวเตอร์แบบรับข้อมูลด้วยการเขียนบนจอภาพ (Tablet PC)เพื่อให้เครื่องแล็ปทอปมีความคล่องตัวในการใช้งานได้ขณะที่ผู้ใช้ไม่ได้ นั่งทำงานกับที่ จึงออกแบบให้สามารถหมุนจอภาพได้ 180 องศา และพับจอภาพลงปิดตัวเครื่องฯ และแป้นพิมพืโดยมีจอภาพหันออกทางด้านบนสภาพเหมือนตอนปิดฝาปิดเครื่อง จอภาพเป็นแบบสัมผัส (touch screen) ใช้รับคำสั่งจากผู้ใช้จากเขียนด้วยปากกา (stylus pen) หรือนิ้วสัมผัส แทนการใช้แป้นพิมพ์และเมาส์ เกิดความคล่องตัวขณะใช้งานที่อาจต้องเคลื่อนที่ตัวเครื่องตลอดเวลา ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้ notebook
* คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ขนาดกระทัดรัด (Ultra-mobile PC : UMPC) เป็น tablet PC ขนาดเล็กเป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่างบริษัทไมโครซอฟ์ท บริษัทอินเทล และบริษัทแซมซุง อาจใช้โปรแกรมระบบปฏิบัติการเป็น Windows XP tablet PC edition 2005 , Windows Vista Home premium edition หรือ Linux ใช้ CPU ที่ใช้พลังงานน้อยของ Intel Pentium หรือ VIA C7-M ที่สัญญาณนาฬิกาประมาณ 1 GHz
* Home theater PC (HTPC) เป็นอุปกรณ์ที่รวมความสามารถของเครื่องพีซีและเครื่องเล่นวิดีโอแบบดิจิตอล เข้าไว้ในอุปกรณ์ที่มีรูปร่างเหมือนเครื่องเล่นวิดีโอทั่วไป และอาจมีแป้นพิมพ์ โดยเชื่อมต่อกับโทรทัศน์หรือจอภาพคอมพิวเตอร์ขนาดเท่าโทรทัศน์ ใช้ในกิจกรรมความบันเทิงภายในครอบครัว เช่น ชมภาพยนตร์ ภาพถ่าย ฟังเพลง วัตถุประสงค์หลักคือทำให้เราสามารถโปรแกรมการทำงานของโทรทัศน์แบบ home theater และเครื่องเล่นวิดีโอแบบดิจิตอลได้ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์เช่น Windows Media Center ตั้งโปรแกรมการรับชม หรือบันทึกรายการที่ต้องการได้
* Pocket PCป็นคอมพิวเตอร์มือถือ (hand held) ขนาดเท่าโทรศัพท์มือถือ ใช้โปรแกรมระบบปฏิบัติการ Windows Mobile หรืออาจใช้โปรแกรมทางเลือกอื่นเช่น NetBSD หรือ Linux เครื่องมีขีดความสามารถใกล้เคียงกับ desktop PC ยังมีอุปกรณ์เสริมเช่น GPS receivers , barcode reader, RFID reader และกล้องถ่ายรูป
เครดิตจาก wikipedia
บล็อกนี้เป็นส่่วนหนึ่งของวิชาคอมพิวเตอร์
เสนอต่อ ครู ขวัญจิตร สุวรรณวงศ์
เครื่องพีซีอาจเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ประจำบ้าน (home computer) หรืออาจพบใช้ในงานสำนักงานที่มักจะเชื่อมต่อกันเป็นระบบเครือข่ายท้องถิ่น (local area network) ลักษณะเด่นจะเป็นเครื่องที่ถูกใช้งานโดยคนเพียงคนเดียว ซึ่งต่างจากระบบประมวลผลแบบ batch processing หรือ time-sharing ที่มีความซับซ้อน ราคาแพง มีการใช้งานจากคนหมู่มากพร้อม ๆ กัน หรือระบบประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ที่ต้องการทีมทำงานเต็มเวลาคอยควบคุมการทำ งาน
ผู้ใช้ "พีซี" ในยุคแรกต้องเขียนโปรแกรมขึ้นใช้งานเอง แต่มาในปัจจุบัน ผู้ใช้มีโปรแกรมให้เลือกใช้ที่หลากหลายทั้งแบบที่ซื้อขายเชิงพาณิชย์และไม่ เชิงพาณิชย์ ซึ่งล้วนแล้วแต่ติดตั้งได้ง่าย
คำว่า "คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล" เริ่มมีใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) สำหรับกล่าวถึงเครื่อง Xerox PARC ของบริษัท Xerox Alto อย่างไรก็ตามจากความประสบความสำเร็จของไอบีเอ็มพีซี ทำให้การใช้คำว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหมายถึง เครื่องไอบีเอ็มพีซี
* เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นพีซี ของไอบีเอ็ม ซึ่งเป็นที่มาของคำดังกล่าว - ดู ไอบีเอ็มพีซี
* คำสามัญ สำหรับเรียกเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ที่เข้ากันได้กับข้อกำหนดจำเพาะของไอบีเอ็ม (IBM compatible)
* คำสามัญ ที่บางครั้งใช้เรียกเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ทุกชนิด
ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
เครื่องคอมพิวเตอร์จะแบ่งออกเป็น ส่วนของฮาร์ดแวร์ (Hardware) และ ซอฟต์แวร์ (Software) ซึ่ง ส่วนของ Hardware จะประกอบด้วย
* CPU หรือ หน่วยประมวลผลกลาง
* ซ็อกเก็ตซีพียู (CPU Socket)
* ชิปเซต (Chip Set)
* เมนบอร์ด (mainboard) หรือ มาเธอร์บอร์ด (motherboard)
* หน่วยความจำ (Memory) แบ่งออกเป็น รอม (Read-Only Memory, ROM) และ แรม (Random-Access Memory, RAM)
* ฮาร์ดดิสก์ (Harddisk)
* ฟลอปปีดิสก์ (floppy disk)
* Compact Disc (CD) แผ่นซีดี (ซีดี)
* การ์ดแสดงผล (Display Card)
* การ์ดเสียง (Sound Card)
* จอภาพ (Monitor)
* เคส (Case)
* เมาส์ (Mouse)
* แป้นพิมพ์ (Keyboard)
ชนิดของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
* คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (Desktop computer) สมัยก่อนที่เครื่อง พีซี จะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย หากมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดพอวางบนโต๊ะทำงานได้ก็ถือว่ามีขนาดเล็ก แล้ว ปัจจุบัน "คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ" สื่อความไปในทางรูปทรงของตัวเครื่อง (computer case) ที่มีหลากหลายนับแต่รูปทรงตั้งสูงขนาดใหญ่แบบ หอคอย (tower case) หรือ ทรงเล็ก (small form factor) ที่วางแอบไว้หลังจอภาพ LCD ได้ คำว่า Desktop จึงหมายถึงรูปทรงของตัวเครื่องที่หลากหลาย ซึ่งปกติพยายามจะจัดวางโดยให้จอภาพวางอยู่บนตัวเครื่องเพื่อประหยัดพื้นที่ วางบนโต๊ะทำงานนั่นเอง คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะในปัจจุบันจะมีส่วนของจอภาพ และแป้นพิมพ์แยกจากกัน
* Nettop เป็นชนิดที่แตกแขนงมาจาก คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ชื่อ Nettop ถูกเรียกขานโดยบริษัท อินเทล ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 ซึ่งหมายถึงคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่ปรับลดต้นทุนและความสามารถลงซึ่งก็คล้าย กับเครื่องแบบ Netbook
* คอมพิวเตอร์ขนาดวางตัก (Laptop) หรือเรียกว่า คอมพิวเตอร์ขนาดสมุดจดบันทึก (notebook) เป็นเครื่องพีซีที่มีขนาดเล็กลง นำหนักเบา เคลื่อนย้ายสะดวก ประหยัดพลังงาน มีแบตเตอรี่เป็นแหล่งพลังงานเสริมเพื่อสะดวกในการใช้งานในสถานที่ไม่สะดวกจะใช้ไฟบ้าน
* เน็ตบุ๊ก (Netbook) เป็นการปรับเครื่องแล็ปทอปให้มีขนาดเล็ก นำหนักเบาขึ้น ประหยัดพลังงาน พกพาสะดวก ทำให้สามารถใช้งานขณะเคลื่อนที่ได้ ต่างจาก Laptop ที่เคลื่อนย้ายสะดวก แต่ขณะใช้งานเครื่องจะวางอยู่กับที่ Netbook จึงมีขนาดเล็กกว่า Laptop ข้อเด่นของเครื่องแบบนี้คือการใช้งานอินเทอร์เน็ตไร้สาย เครื่องมีขนาดจอภาพระหว่าง 7" ถึง 9" ตั้งค่าความละเอียดในการแสดงภาพที่ค่า 800x600 และ 1024x768 หน่วยจัดเก็บข้อมูลสำรองขนาด 4 GB ถึง 16 GB ตัวอย่างได้แก่เครื่อง Eee PC
* คอมพิวเตอร์แบบรับข้อมูลด้วยการเขียนบนจอภาพ (Tablet PC)เพื่อให้เครื่องแล็ปทอปมีความคล่องตัวในการใช้งานได้ขณะที่ผู้ใช้ไม่ได้ นั่งทำงานกับที่ จึงออกแบบให้สามารถหมุนจอภาพได้ 180 องศา และพับจอภาพลงปิดตัวเครื่องฯ และแป้นพิมพืโดยมีจอภาพหันออกทางด้านบนสภาพเหมือนตอนปิดฝาปิดเครื่อง จอภาพเป็นแบบสัมผัส (touch screen) ใช้รับคำสั่งจากผู้ใช้จากเขียนด้วยปากกา (stylus pen) หรือนิ้วสัมผัส แทนการใช้แป้นพิมพ์และเมาส์ เกิดความคล่องตัวขณะใช้งานที่อาจต้องเคลื่อนที่ตัวเครื่องตลอดเวลา ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้ notebook
* คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ขนาดกระทัดรัด (Ultra-mobile PC : UMPC) เป็น tablet PC ขนาดเล็กเป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่างบริษัทไมโครซอฟ์ท บริษัทอินเทล และบริษัทแซมซุง อาจใช้โปรแกรมระบบปฏิบัติการเป็น Windows XP tablet PC edition 2005 , Windows Vista Home premium edition หรือ Linux ใช้ CPU ที่ใช้พลังงานน้อยของ Intel Pentium หรือ VIA C7-M ที่สัญญาณนาฬิกาประมาณ 1 GHz
* Home theater PC (HTPC) เป็นอุปกรณ์ที่รวมความสามารถของเครื่องพีซีและเครื่องเล่นวิดีโอแบบดิจิตอล เข้าไว้ในอุปกรณ์ที่มีรูปร่างเหมือนเครื่องเล่นวิดีโอทั่วไป และอาจมีแป้นพิมพ์ โดยเชื่อมต่อกับโทรทัศน์หรือจอภาพคอมพิวเตอร์ขนาดเท่าโทรทัศน์ ใช้ในกิจกรรมความบันเทิงภายในครอบครัว เช่น ชมภาพยนตร์ ภาพถ่าย ฟังเพลง วัตถุประสงค์หลักคือทำให้เราสามารถโปรแกรมการทำงานของโทรทัศน์แบบ home theater และเครื่องเล่นวิดีโอแบบดิจิตอลได้ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์เช่น Windows Media Center ตั้งโปรแกรมการรับชม หรือบันทึกรายการที่ต้องการได้
* Pocket PCป็นคอมพิวเตอร์มือถือ (hand held) ขนาดเท่าโทรศัพท์มือถือ ใช้โปรแกรมระบบปฏิบัติการ Windows Mobile หรืออาจใช้โปรแกรมทางเลือกอื่นเช่น NetBSD หรือ Linux เครื่องมีขีดความสามารถใกล้เคียงกับ desktop PC ยังมีอุปกรณ์เสริมเช่น GPS receivers , barcode reader, RFID reader และกล้องถ่ายรูป
เครดิตจาก wikipedia
บล็อกนี้เป็นส่่วนหนึ่งของวิชาคอมพิวเตอร์
เสนอต่อ ครู ขวัญจิตร สุวรรณวงศ์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)